ประวัติบริษัท ไชโยโห่สามที









บริษัท ไชโย โห่สามที จำกัด


ความเป็นมา
เนื่องจากบริษัท ไชโย โห่สามที จำกัดได้ทำการเปิดบริษัทขนาดเล็กในปีค.ศ.2012 เปิดมาเพื่อทำการขาย ซ่อมและจำหน่าย อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ มีจำนวนแผนกรวม 6 แผนก มีพนักงานทั้งหมด 17 คน คือแผนกการเงิน 2 คน,แผนกบุคคล 2 คน,แผนกประชาสัมพันธ์ 3 คน,แผนกจัดซื้อ 3 คน,แผนกซ่อมแซม 4 คน และแผนกการขาย 3 คน

โครงสร้างองค์กร

ภารกิจหลักของบริษัท

     1. นำเสนอสิ่งดีให้กับลูกค้า
     2. ทำให้ลูกค้าพึงพอใจในการทำงานและบริการ

วัตถุประสงค์ของบริษัท
     1. เพื่อเพิ่มจำนวนลูกค้าให้มากขึ้น
     2. เพื่อขยายกิจการ
     3. เพื่อให้เป็นที่รู้จักของตลาด
     4. เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน
     5. เพื่อให้บริษัทมีความมั่นคง

เป้าหมายของบริษัท     สร้างผลกำไรให้ได้สูงสุด เป็นศูนย์กลางของบริษัททั่วไป

ความหมายของแต่ละแผนก
     ผู้บริหาร เป็นคนที่มีความรับผิดชอบในการดำเนินชีวิตประจำวันของ บริษัท หรือองค์กร ในบางพื้นที่ของโลกคำว่า"กรรมการผู้จัดการ"เทียบเท่ากับ"หัวหน้า ข้อมูลที่หัวหน้าผู้บริหารของ บริษัท ไม่ว่าจะเป็นผู้จัดการ บริษัท ทั้งหมดหรือเพียงส่วนหนึ่งของหนึ่งในกรรมการบริหารมีจำนวนของความรับผิดชอบ

     ฝ่ายซ่อมแซม ทำหน้าที่วิเคราะห์การซ่อมแซมอุปกรณ์จากสินค้าที่ลูกค้ามีการเสียหายแล้วส่งต่อให้ฝ่ายซ่อมแซม

     ฝ่ายบริหาร ทำหน้าที่ในการสนับสนุนหรือเห็นชอบแต่ละนโยบายของแต่ละหน่วยงานภายในองค์กร

     ฝ่ายการตลาด เป็นผู้รับผิดชอบต่อกลยุทธ์, กลยุทธ์และโปรแกรมเพื่อสร้างความสนใจความต้องการและผลิตภัณฑ์ของ บริษัท ผ่านการใช้งานประชาสัมพันธ์การตลาดสินค้า, Creative Services, โฆษณา, กลยุทธ์ความสัมพันธ์ให้ตรง, Event, Channel และการตลาดออนไลน์ ตำแหน่ง นี้ยังรับผิดชอบในการวางแผนการจัดองค์การการจัดคนเข้าทำงานการฝึกอบรมและการ จัดการฟังก์ชั่นการตลาดทั้งหมดเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของ บริษัท จากการขาย, การเจริญเติบโตผลกำไรและการมองเห็นขณะที่มั่นใจข้อความทางการตลาดที่สอดคล้องกันและให้ได้ตำแหน่งบนพื้นฐานทั่วโลกสอดคล้องกับองค์กร ทิศทาง

     แผนกจัดซื้อ หมายถึงธุรกิจหรือองค์กรที่พยายามสำหรับการซื้อสินค้าหรือบริการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์กร แต่มีหลายองค์กรที่พยายามที่จะกำหนดมาตรฐานในกระบวนการจัดซื้อ, กระบวนการสามารถแตกต่างกันมากระหว่างองค์กร

     แผนกบัญชี ทำหน้าที่ทางด้านการเงินซึ่งเป็นฝ่ายที่สำคัญมากที่สุดอีกฝ่ายหนึ่งก็ว่าได้เพราะงานในทกด้านต้องมีการใช้เงินมีรายรับ รายจ่ายก็ต้องผ่านทางฝ่ายบัญชี

     แผนกซ่อมแซม เมื่อสินค้ามีการชำรุดหรือผิดปกติตามที่ทางลูกค่านำมาซ่อมหรือแก่ไขจะต้องทำการซ่อมให้ลูกค้า

     แผนกประชาสัมพันธ์ ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่ลูกค้าเมื่อลูกค้าต้องการขอความช่วยเหลือต้อสามารถให้คำปรึกษานั้นๆได้จะเป็นฝ่ายงานที่แจ้งให้ลูกค้าทราบ

     แผนกขาย ทำหน้าที่นำเสนอสินค้าสู่ลูกค้าเพื่อให้มียอดขายเพิ่มมากขึ้น

     แผนกบุคคล มีหน้าที่จัดทำประวัติของพนักงานจ่ายเงินเดือน สวัสดิการ ประกันสังคม โบนัส โอที โบนัสต่อปีจัดทำตารางทำงานของพนักงาน วันหยุด ลาพักร้อน ลาป่วย ลากิจตรวจเช็คเวลาเข้า – ออกของพนักงานสรรหาและจ้างบุคคลากรที่มีคุณภาพ


หน้าที่และปัญหาแต่ละแผนก
แผนกบัญชี
     มีหน้าที่ในการจัดทำบัญชีรายรับ – รายจ่ายของอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ในแต่ละวัน การโอน – การฝากเงิน ต่างๆประมาณรายได้และค่าใช้จ่ายคิดคำนวณภาษีดอกเบี้ย ภาษีมูลค่าลดย่นภาษี จัดทำรายงานเงินสดคงเหลือประจำวัน งบกระแสเงินสด ประมาณการรายได้และค่าใช้จ่าย งบการเงินและรายละเอียดประกอบงบการเงิน

ปัญหาในแผนกบัญชี
     1.เอกสารมีจำนวนมากทำให้จัดเก็บไม่เป็นระเบียบและเสี่ยงต่อการสูญหายได้ง่าย
     2. การค้นเอกสารระหว่างการทำงานหรือค้นหาย้อนหลังทำได้ยาก เนื่องจากเอกสารมากทำให้เสียเวลา
     3.เสี่ยงต่อการปลอมแปลงเอกสารง่ายข้อมูลไม่ปลอดภัย อาจเกิดการทุจริตได้ง่าย
     4.ควบคุมรายรับ – รายจ่ายของบริษัทได้ยาก
     5.ติดตามข้อมูลของลูกค้าได้ยาก เพราะข้อมูลมีเยอะ
     6. การดูแลรักษาทำได้ยาก อาจมีการชำรุด สับเปลี่ยน หรือศูนย์หาย

แผนกบุคคล
     มีหน้าที่จัดทำประวัติของพนักงานจ่ายเงินเดือน สวัสดิการ ประกันสังคม โบนัส โอที โบนัสต่อปีจัดทำตารางทำงานของพนักงาน วันหยุด ลาพักร้อน ลาป่วย ลากิจตรวจเช็คเวลาเข้า – ออกของพนักงานสรรหาและจ้างบุคคลากรที่มีคุณภาพ

ปัญหาในแผนกบุคคล
     1.การสืบค้นประวัติและแก้ไขประวัติของพนักงานทำได้ยาก
     2.ปัญหาการจ่ายเงินเดือนพนักงานตกหล่น เพราะสวัสดิการแต่ละคนไม่เท่ากัน
     3.ตรวจสอบวันลา หยุด ของพนักงานทำได้ยาก เสี่ยงต่อการทุจริตของพนักงาน
     4. ไม่ทราบเวลาเข้า – ออกของพนักงานเพราะต้อง เซนชื่อก่อนเข้างาน

แผนกการขาย
     มีหน้าที่ในการบริการจำหน่ายสินค้าให้กับลูกค้า โดยแผนกขายจะมีการเก็บข้อมูลของลูกค้าที่มาสั่งซื้อและข้อมูลการสั่งซื้ออธิบายรายละเอียดของสินค้าที่ลูกค้าสนใจ
ปัญหาในแผนกการขาย
     1.เอกสารมีจำนวนมากทั้งเอกสารสินค้า เอกสารลูกค้า ทำให้มีปัญหาในการจัดเก็บ
     2.การค้นหาเอกสารทำได้ยาก เสียเวลา
     3. ตรวจสอบยอดขายสินค้าหรือเช็คย้อนหลังทำได้ยาก
     4. ข้อมูลอาจเกิดความซับซ้อนเนื่องจากลูกค้ามีหลายคนทำให้ไม่ทราบว่าจัดทำรายละเอียดลูกค้าไปแล้วหรือไม่

แผนกประชาสัมพันธ์
     มีหน้าที่นำเสนอสินค้า โปรโมชั่นแก่ลูกค้าให้ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและแนะนำสินค้า สร้างความมั่นใจความน่าเชื่อถือ ความพึงพอใจ ใส่ใจทุกคำติชมของลูกค้าประชาสัมพันธ์สร้างความเชื่อถือให้แก่บริษัทและตัว สินค้าจัดทำข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าบริการหลังการขาย

ปัญหาในแผนกประชาสัมพันธ์
     1. ลูกค้าไม่เข้าใจ รายละเอียดของสินค้า
     2. ลูกค้าไม่พึ่งพอใจต่อการบริการของพนักงาน
     3. มีการประชาสัมพันธ์ไม่ทั่วถึง
     4. เสียเวลาในการหาเอกสาร
     5. ติดต่อลูกค้าลำบาก

แผนกจัดซื้อ
     มีหน้าที่วางแผนตรวจสอบระบบการรับสินค้าทั้งหมดทั้ง จำนวนสินค้าตรวจสอบสินค้าในคลังได้ยากว่ามีสินค้าคงเหลือเท่าไรต้องสั่งซื้อ เพิ่มอีกเท่าไรและตรวจสอบคุณภาพของสินค้าจัดหาอะไหล่ชิ้นส่วนรถที่ดีมี คุณภาพจัดทำเอกสารเบิกจ่ายสินค้าออกบิลสินค้า

ปัญหาในแผนกคลังสินค้า/จัดซื้อ
     1. ตรวจสอบสินค้าในคลังได้ยากว่ามีสินค้าคงเหลือเท่าไรต้องสั่งซื้อเพิ่มอีกเท่าไร
     2. เช็คยอดการเบิกจ่ายสินค้าในคลังได้ยาก
     3. หากบิลสินค้าไม่ถูกต้อง อาจก่อให้เกิดความเสียหายได้
     4. ในการสั่งซื้อสินค้าอาจได้รับสินค้าได้ไม่ตรงตามต้องการ
     5. เสี่ยงต่อการสูญหายได้ง่าย

แผนกซ่อมแซม
     มีหน้าที่ กำหนด นโยบายและวางแผนการบริหารงานซ่อมบำรุงทั้งหมดในบริษัท ทั้งในด้านเครื่องไฟฟ้าควบคุมดูแลงานซ่อมบำรุงเชิงป้องกันในการตรวจสอบ สภาพของเครื่องให้สามารถใช้งานได้บำรุงให้สามารถสนับสนุนการซ่อมบำรุงได้ อย่างมีประสิทธิภาพ

ปัญหาในแผนกซ่อมแซม
     1. จัดลำดับก่อน – หลังการซ่อมบำรุงทำได้ยาก
     2. เอกสารมีมาก เนื่องจากก่อนจะทำการซ่อมบำรุงแต่ละครั้งต้องทำใบเบิกจ่ายอุปกรณ์จากคลังสินค้าเสียก่อน
     3. หากวินิจฉัยปัญหาไม่ตรงจุด อาจทำให้เกิดความเสียหายได้
     4. หากบุคคลไม่มีความรู้ความสามารถในการซ่อมบำรุงจะทำให้เกิดความเสียหายมากยิ่งขึ้น



ปัญหาระหว่างแผนก

ปัญหาระหว่างแผนกบัญชีกับแผนกบุคคล
  • ฝ่ายบัญชีไม่ทราบว่าจะต้องจ่ายเงินให้พนักงานทำไร
  • ฝ่ายบัญชีไม่ทราบเวลาการเข้างานของพนักงาน
  • ฝ่ายบัญชีไม่ทราบว่ามีพนักงานเข้ามาใหม่หรือออกเท่าไร
ปัญหาระหว่างแผนกบัญชีกับแผนกการขาย
  • ฝ่ายบัญชีไม่ทราบว่าขายไปได้เท่าไร
  • ฝ่ายบัญชีไม่ทราบว่าเหลือสินค้าเท่าไร
ปัญหาระหว่างแผนกบัญชีกับแผนกประชาสัมพันธ์
  • ฝ่ายบัญชีไม่ทราบว่าใช้เงินค่าโฆษณาไปเท่าไร
ปัญหาระหว่างแผนกบัญชีกับแผนกจัดซื้อ
  • ฝ่ายบัญชีไม่ทราบว่าต้องใช้เงินเท่าไรไปซื้อเข้าไปใหม่
  • ฝ่ายบัญชีไม่ทราบว่ายอดเงินเหลือเท่าไร
ปัญหาระหว่างแผนกบัญชีกับแผนกซ่อมแซม
  •  ฝ่ายบัญชีไม่ทราบว่าต้องจ่ายค่าซ่อมแซมเท่าไร
ปัญหาระหว่างแผนกบุคคลกับแผนกบัญชี
  • ฝ่ายบุคคลไม่ทราบว่าแผนกบัญชีต้องใช้คนกี่คน
  •  ฝ่ายบุคคลไม่ทราบว่าแผนกบัญชีมีคนออกหรือเข้ามาใหม่กี่คน
ปัญหาระหว่างแผนกบุคคลกับแผนกการขาย
  •  ฝ่ายบุคคลไม่ทราบว่าแผนกการขายต้องใช้คนกี่คน
  • ฝ่ายบุคคลไม่ทราบว่ามีพนักงานออกหรือเข้ามาใหม่กี่คน
ปัญหาระหว่างแผนกบุคคลกับแผนกประชาสัมพันธ์
  • ฝ่ายบุคคลไม่ทราบว่าแผนกประชาสัมพันธ์ต้องใช้คนกี่คน
  • ฝ่ายบุคคลไม่ทราบว่าแผนกประชาสัมพันธ์มีคนออกหรือเข้ามาใหม่กี่คน
ปัญหาระหว่างแผนกบุคคลกับแผนกจัดซื้อ
  • ฝ่ายบุคคลไม่ทราบว่าแผนกจัดซื้อต้องการคนกี่คน
  • ฝ่ายบุคคลไม่ทราบว่าแผนกจัดซื้อมีคนออกหรือเข้ามาใหม่กี่คน
ปัญหาระหว่างแผนกบุคคลกับแผนกซ่อมแซม
  • ฝ่ายบุคคลไม่ทราบว่าแผนกซ่อมแซมต้องการคนกี่คน
  • ฝ่ายบุคคลไม่ทราบว่าแผนกซ่อมแซมมีคนออกหรือเข้ามาใหม่กี่คน
ปัญหาระหว่างแผนการขายกับแผนกจัดซื้อ
  • ฝ่ายการขายไม่ทราบว่าสินค้าเหลือเท่าไร
  • ฝ่ายการขายไม่ทราบว่าต้องทำยอดเท่าไร
ปัญหาระหว่างแผนกการขายกับแผนกบุคคล
  • ฝ่ายการขายไม่ทราบว่าจะมีบุคคลเข้ามาใหม่เท่าไร
ปัญหาระหว่างแผนกการขายกับแผนกซ่อมแซม
  • ฝ่ายการขายไม่ทราบว่าของที่ซ่อมเสร็จหรือยัง
  • ฝ่ายการขายไม่ทราบว่าสินค้าที่ซ่อมแล้วเสร็จหรือยัง
ปัญหาระหว่างแผนกการขายกับแผนกบัญชี
  • ฝ่ายการขายไม่ทราบว่าเหลืองบประมาณเท่าไร
  • ฝ่ายการขายไม่ทราบว่าต้องทำยอดต่อการขายเท่าไร
ปัญหาระหว่างแผนกการขายกับแผนกประชาสัมพันธ์

  • ฝ่ายการขายไม่รู้ว่ารูปแบบที่จะโฆษณายังไง
  • ฝ่ายการขายไม่รู้ว่าจะต้องโฆษณาสินค้ายังไง

ปัญหาระหว่างแผนกประชาสัมพันธ์กับแผนกการขาย

  • ฝ่ายประชาสัมพันธ์ไม่ทราบว่ามีสินค้ามาใหม่หรือไม่
  • ฝ่ายประชาสัมพันธ์ไม่ทราบสภาพสินค้า

ปัญหาระหว่างแผนกประชาสัมพันธ์กับแผนกบุคคล

  • ฝ่ายประชาสัมพันธ์ไม่ทราบว่าต้องใช้บุคคลใดในการโฆษณา

ปัญหาระหว่างแผนกประชาสัมพันธ์กับแผนกซ่อมแซม

  • ฝ่ายประชาสัมพันธ์ไม่รู้ว่าฝ่ายซ่อมแซมต้องการโฆษณาหรือไม่

ปัญหาระหว่างแผนกประชาสัมพันธ์กับแผนกบัญชี

  • ฝ่ายประชาสัมพันธ์ไม่ทราบว่าฝ่ายบัญชีต้องการโฆษณาหรือไม่

ปัญหาระหว่างแผนกจัดซื้อกับแผนกบัญชี

  • ฝ่ายจัดซื้อไม่ทราบว่ามีงบจัดซื้อเท่าไร

ปัญหาระหว่างแผนกจัดซื้อกับแผนกซ่อมแซม

  • ฝ่ายจัดซื้อไม่ทราบว่าแผนกซ่อมแซมเหลืออุปกรณ์อะไรบ้าง
  • ฝ่ายจัดซื้อไม่ทราบว่าแผนกซ่อมแซมอุปกรณ์อะไรเสียหายบ้าง

ปัญหาระหว่างแผนกจัดซื้อกับแผนกประชาสัมพันธ์

  • ฝ่ายจัดซื้อไม่ทราบว่าฝ่ายประชาสัมพันธ์โฆษณาอะไรไปแล้วบ้าง

ปัญหาระหว่างแผนกจัดซื้อกับแผนกการขาย

  •  ฝ่ายจัดซื้อไม่ทราบว่าสินค้าที่ฝ่ายการขายเหลือเท่าไร
  • ฝ่ายจัดซื้อไม่ทราบว่าต้องซื้อสินค้าเข้ามาใหม่เท่าไร

สรุปปัญหาทั้งหมดของแต่ละแผนก

  • รายรับ – จ่ายของบริษัทเกิดความผิดพลาดได้ง่าย
  • เอกการสารต่าง ๆ อาจเกิดการเสียหายหรือว่าสูญหายได้
  • เอกสารที่เก็บไว้นาน เวลาเรียกใช้อาจจะใช้เวลาค้นหานาน
  •  เสี่ยงต่อการปลอมแปลงเอกสาร
  • ไม่สามารถรู้เวลาเข้า – ออกงานของพนักงานได้
  • ตรวจสอบข้อมูลของสินค้าได้ยาก
  • ประชาสัมพันธ์อาจโฆษณาข้อมูลสินค้าไม่เป็นปัจจุบัน
  • จัดอันดับการซ่อมแซมได้ยาก
  •  มาตรฐานการทำงานของพนักงานจะทำให้บริษัทไม่บรรลุจุดมุงหมาย


ระบบที่จะนำมาแก้ปัญหา

  1. ระบบบัญชี
  2. ระบบงานบุคคล
  3.  ระบบจัดซื้อ
  4. ระบบจัดเก็บข้อมูล
ตารางแสดงรายการ การทำงาน (Functions) ทางธุรกิจทั้งของบริษัท


แสดงการจำแนกกิจกรรม (Activities) ของหน้า ที่การทำงาน (Functions) ในบริษัท
แผนกบัญชี
  • จัดทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย
  • ควบคุมการโอน-การฝากเงิน ของบริษัท
  • ตรวจสอบในเสร็จต่างๆ
  • คิดคำนวณภาษีดอกเบี้ย
แผนกบุคคล
  • จัดทำประวัติของพนักงาน
  • จ่ายเงินเดือน สวัสดิการ ประกันสังคม โบนัส โอที โบนัสต่อปี
  • กำหนดค่าตอบแทนในการทำงาน
  • จัดสรรผลประโยชน์ให้กับบุคลากร จัดสวัสดิการและเงินค่าตอบแทน

แผนกประชาสัมพันธ์
  • เก็บข้อมูลของลูกค้าที่มาสั่งซื้อ
  • อธิบายรายละเอียดของสินค้าที่ลูกค้าสนใจ
  • บริการจำหน่ายสินค้าให้กับลูกค้า
  • ประชาสัมพันธ์สินค้าและบริษัท
  • ประเมินความพึงพอใจ
แผนกจัดซื้อ
  • จัดเก็บสินค้า ตรวจสอบคุณภาพสินค้า
  • รับสินค้าและเบิกจ่ายสินค้า ควบคุมดูแลการเคลื่อนย้ายสินค้า
แผนกซ่อมแซม
  • ควบคุมดูแลงานซ่อมบำรุงทั้งของลูกค้าและบริษัท
  • สนับสนุนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ตรวจสอบภาพของเครื่องจักรให้สามารถใช้งานได้
แผนกการขาย

  • บริการจำหน่ายสินค้าให้กับลูกค้า
  • เก็บข้อมูลของลูกค้าที่มาสั่งซื้อ
  • อธิบายข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าให้กับลูกค้า



เกณฑ์ในการตัดสินใจ

  1. เพิ่มจำนวนลูกค้า
  2. สร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า
  3.  เพิ่มภาพลักษณ์ให้กับบริษัท
  4. เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
  5.  เพิ่มผลกำไร
  6. เน้นสินค้าให้ได้มาตรฐาน


การค้นหาและเลือกสรรโครงการ
ขั้นตอนที่ 1 การค้นหาและเลือกสรร ระบบที่ต้องการพัฒนา

1.ค้นหาระบบที่ต้องการพัฒนา
     จากการที่ได้สำรวจปัญหาของแต่ละแผนกและปัญหาระหว่างแผนกสามารถเลือกระบบที่ต้องการพัฒนาได้ดังนี้

  1.  ระบบจัดซื้อ
  2. ระบบจัดเก็บข้อมูล
  3. ระบบส่งเสริมการขายและการจองสินค้าทางบริษัทได้จัดสรรงบประมาณในการพัฒนาระบบของบริษัททั้งสิ้น 350000 บาท

ตารางแสดงโครงการที่ต้องการพัฒนา


2. จำแนกและจัดกลุ่มระบบ
ระบบทั้ง 3 ระบบที่ค้นหามาได้มีวัตถุประสงค์ดังนี้

1.  ระบบจัดซื้อ
     วัตถุประสงค์เพื่อให้มีการเก็บข้อมูลของสินค้า ประเภทสินค้าสินค้าที่ค้างสต๊อก เพื่อนสะดวกต่อความว่องไวในการตรวจเช็คสินค้า และสะดวกต่อการค้นหาและทำให้เรารู้ว่าสินค้าของในสต๊อกมีมากน้อยเพียงใด เพียงพอต่อการออกจำหน่ายหรือออกโฆษณา

2.  ระบบจัดเก็บข้อมูล
     วัตถุประสงค์เพื่อให้มีการจัดเก็บข้อมูลทั้งหมดของบริษัทไว้โดยแบ่งเป็นแผนกต่างๆที่มีอยู่ในบริษัทเรา จะได้ไม่มีการสูญหายของข้องมูลต่าง และง่ายต่อการค้นหาและเกิดความรวดเร็วขึ้นด้วย

3. ระบบส่งเสริมการขายและการจองสินค้า
     วัตถุประสงค์เพื่อให้มีการทำการโฆษณาสินค้า มีบริการจองสินค้า ดึงดูดความสนใจแก่ลูกค้าที่มาดูสินค้าของเรา

     เมื่อพิจารณาวัตถุประสงค์ของระบบทั้ง 3 แล้ว พบว่าล้วนแต่ให้ผลประโยชน์กับบริษัท จึงจำ เป็นต้องคัดเลือกระบบที่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันของบริษัทมากที่สุด ดังนั้นจึงเริ่มต้นด้วยการนำ ระบบทั้ง 3 มาเปรียบเทียบกับวัตถุประสงค์ ของบริษัทเพื่อค้นหาระบบที่ตรงตามวัตถุประสงค์มากที่สุด และสามารถบรรลุเป้าหมายสูงสุดของบริษัทได้ดังรายละเอียด จากตารางต่อไปนี้


     จากตาราง พบว่าแต่ละระบบสามารถตอบสนองความต้องการของบริษัทได้ทั้งหมด แต่เนื่องด้วยทางบริษัทมีงบประมาณในการพัฒนาระบบจำกัด จึงต้องนำระบบทั้ง 3 มาพิจารณาใหม่อีกครั้งซึ่งจะต้องดูรายละเอียดของขนาดระบบ งบประมาณและผลประโยชน์ สามารถแสดงได้ดังตารางต่อไปนี้

การเสนอแนวทางเลือก ในการนำระบบพัฒนาระบบตรวจเช็คสินค้ามาใช้งาน
     หลังจากที่ได้วิเคราะห์ระบบเดิมและพบว่าปัญหาที่เกิดขึ้นคือทำให้สามารถตรวจสอบคุณภาพสินค้าและตรวจเช็คสินค้าในคลังในยาก อีกทั้งมีปัญหาในเรื่องของการเบิกจ่ายและการสั่งซื้ออาจทำให้เกิดความซับซ้อนของข้อมูล เช็คย้อนหลังได้ยาก เพื่อลดปัญหาต่างๆลง ได้มีการเสนอโครงการพัฒนาระบบใหม่ขึ้นทางทีมงานได้รวมรวบข้อมูลจากผู้ใช้ที่เกี่ยวข้องและนำเสนอผู้บริหารจากนั้นจึงได้จำลองขั้นตอนการทำงานของระบบใหม่นำเสนอให้ผู้บริหารและผู้ใช้ระบบเพื่อตรวจสอบความถูกต้องและนำมาแก้ไขให้ตรงตามความต้องการ โดยมีแนวทางเลือกในการพัฒนาโครงการ 3 แนวทาง คือ

  1. จัดซื้อซอฟแวร์สำเร็จรูป
  2. จ้างบริษัทภายนอกเพื่อพัฒนาระบบ
  3. ใช้ทีมงานเดิมมาพัฒนาและติดตั้งระบบ

แนวทางเลือกในการพัฒนา


ทางเลือกที่ 1 : การจัดซื้อซอฟต์แวร์สำเร็จรูป (Packaged Software) มีรายละเอียดดังตารางต่อไปนี้

แนวทางเลือกที่ 1 จัดซื้อซอฟต์แวร์สำเร็จรูป


การประเมินแนวทางเลือกที่ 1

     ทางทีมงานได้ทำการประเมินผลแนวทางเลือกซอฟต์แวร์ที่เหมาะสม โดยกำหนดเกณฑ์การให้น้ำหนัก (คะแนน) เชิงปริมาณเปรียบเทียบไว้เป็น 4 ระดับ ดังนี้

น้ำหนักเท่ากับ 4 ช่วงคะแนน 100-90 เปอร์เซ็นต์ เกณฑ์ที่ได้ ดีมาก
น้ำหนักเท่ากับ 3 ช่วงคะแนน 89-70 เปอร์เซ็นต์ เกณฑ์ที่ได้ ดี
น้ำหนักเท่ากับ 2 ช่วงคะแนน 69-50 เปอร์เซ็นต์ เกณฑ์ที่ได้ พอใช้
น้ำหนักเท่ากับ 1 ช่วงคะแนน 49-30 เปอร์เซ็นต์ เกณฑ์ที่ได้ ปรับปรุง
ซึ่งผลจากการประเมิน โดยการให้น้ำหนักหรือคะแนนของทีมงาน ปรากฏผลดังตารางต่อไปนี้

ตารางการประเมินแนวทางเลือกที่ 1


สรุปผลการประเมินแนวทางเลือกที่ 1

     ทางทีมงานได้สรุปผลการประเมินแนวทางเลือกและคัดเลือกใช้ซอฟต์แวร์ A มาพิจารณา เนื่องจากมีความเหมาะสมและตรงกับความต้องการมากที่สุด

ทางเลือกที่ 2 : ว่าจ้างบริษัทภายนอกเพื่อพัฒนาระบบ มีรายละเอียดดังตารางต่อไปนี้

แนวทางเลือกที่ 2 ว่าจ้างบริษัทภายนอกเพื่อพัฒนาระบบ


การประเมินแนวทางเลือกที่ 2

     ทางทีมงานได้ทำการประเมินผลแนวทางเลือกซอฟต์แวร์ที่เหมาะสม โดยกำหนดเกณฑ์การให้น้ำหนัก (คะแนน) เชิงปริมาณเปรียบเทียบไว้เป็น 4 ระดับ ดังนี้

น้ำหนักเท่ากับ 4 ช่วงคะแนน 100-90 เปอร์เซ็นต์ เกณฑ์ที่ได้ ดีมาก
น้ำหนักเท่ากับ 3 ช่วงคะแนน 89-70 เปอร์เซ็นต์ เกณฑ์ที่ได้ ดี
น้ำหนักเท่ากับ 2 ช่วงคะแนน 69-50 เปอร์เซ็นต์ เกณฑ์ที่ได้ พอใช้
น้ำหนักเท่ากับ 1 ช่วงคะแนน 49-30 เปอร์เซ็นต์ เกณฑ์ที่ได้ ปรับปรุง

ซึ่งผลจากการประเมิน โดยการให้น้ำหนักหรือคะแนนของทีมงาน ปรากฏผลดังตารางต่อไปนี้


สรุปผลการประเมินแนวทางเลือกที่ 2

     ทางทีมงานได้สรุปผลการประเมินแนวทางเลือกและคัดเลือกใช้บริษัท Aมาพิจารณา เนื่องจากมีความเหมาะสมและตรงกับความต้องการมากที่สุด

ทางเลือกที่ 3 : ใช้ทีมงานเดิมพัฒนาและติดตั้งระบบมีรายละเอียดดังตารางต่อไปนี้

แนวทางเลือกที่ 3 ใช้ทีมงานเดิมพัฒนาและติดตั้งระบบ


การประเมินแนวทางเลือกที่ 3

ไม่มีการประเมิน เพราะไม่มีการเปรียบเทียบ

สรุปผลการประเมินแนวทางเลือกที่ 3
     ทางทีมงานพิจารณาแล้วว่า มีขีดความสามารถที่จะพัฒนาระบบได้ตามข้อกำหนดคุณสมบัติทางเทคนิคและความต้องการของผู้ใช้งานตามที่จัดทำโดยใช้ระยะเวลาดำเนินการจำนวนทั้งสิ้น 5 เดือนและมีค่าใช้จ่ายในการดำ เนินงานจำนวนเงินทั้งสิ้น 250,000 บาท (ค่าเงินเดือน ค่าอุปกรณ์ ค่าล่วงเวลา ค่าเบ็ดเตล็ดและค่าสำรองฉุกเฉินเป็นต้น)

เปรียบเทียบแนวทางเลือกทั้งสาม
     ผลจากการพิจารณาแนวทางเลือกของทีมงานจากทั้งสามแนวทางจะนำเสนอเข้าสู่การพิจารณาของผู้บริหารเพื่อพิจารณาเลือกแนวทางตามที่ได้นำเสนอจากทีมงานพัฒนาพร้อมข้อเสนอแนะในแต่ละแนวทางเลือกหลักทั้งสาม โดยมีรายละเอียดดังตารางต่อไปนี้

ตารางเปรียบเทียบการพิจารณาแนวทางเลือกทั้งสามแนวทาง

ผู้บริหารเลือกแนวทางที่ดีที่สุด
     หลังจากหัวหน้าทีมงานได้เสนอแนวทางเลือก โดยจัดทำข้อมูลเปรียบเทียบและข้อเสนอแนะแก่ทีมผู้บริหาร โดยใช้กฎเกณฑ์การให้น้ำหนัก (คะแนน) ดังตารางต่อไปนี้

ตารางการเปรียบเทียบการให้คะแนนทั้งสามแนวทาง


สรุปผลการประเมินโดยทีมงานผู้บริหาร
     ทางทีมงานผู้บริหารได้พิจารณาตัดสินใจเลือกแนวทางใช้ทีมงานเดิมพัฒนาและติดตั้ง เนื่องจากมีความเหมาะสมและตรงกับความต้องการมากที่สุด นอกจากจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและความคุ้มค่าในการลงทุนแล้ว ยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีของพนักงานภายในบริษัท พร้อมทั้งได้กำหนดมาตรการและมอบหมายแก่ผู้บังคับบัญชาโดยตรง คอยควบคุมดูแลทีมงานพัฒนาให้ดำเนินการเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้

ขั้นตอนที่ 2
  การเริ่มต้นและวางแผนโครงการ


เป้าหมาย
     นำระบบจัดซื้อมาใช้งานในบริษัทเพื่อการเลือกอะไหล่ และอุปกรณ์ที่มีมาตรฐานที่ดีให้แก่ลูกค้า เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้และสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้าและสร้างความวางไว้วางใจต่อลูกค้าเสมือนลูกค้าเป็นพี่น้องของเรา

วัตถุประสงค์
     เพื่อนำระบบใหม่มาแก้ไขปัญหาต่างๆให้มากที่สุดและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และความสมัยใหม่ของระบบเพื่อนทันต่อการใช้งานรวมไปถึงตรวจสอบสินค้าให้ได้มาตรฐาน ถูกต้อง ว่องไวตรงตามความต้องการ

ขอบเขตของระบบ
     โครงการพัฒนาระบบจัดซื้อได้มีการจัดขึ้นโดยทีมงานของบริษัท ซึ่งมีการกำหนดขอบเขตของระบบการดำเนินงานต่อไปนี้

  1. เป็นระบบที่ต้องมีความแม่นยำในการทำงาน
  2. ระบบที่มีความละเอียดแต่หาได้ง่าย
  3.  มีความผิดพลาดในการทำงานให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
  4.  ระบบมีการจัดแบ่งส่วนต่างๆอย่างชัดเจนคบถ้วน มีความสะดวกต่อการค้นหา
  5. ระบบจะต้องรองรับการทำงานแบบ Multi-User ได้
ปัญหาของระบบเดิม
  1.  ระบบมีการทำงานที่ซับซ้อน จึงยากต่อการตรวจสอบ
  2.  ข้อมูลของระบบมีการขาดหายไปบ้างในบางส่วน
  3.  บิลรายการสินค้าตรวจสอบได้ยาก
  4.  สินค้าตกหล่น สินค้ามาไม่ครบตามจำรวนที่สั่ง
  5.  เอกสารการเบิกจ่าย เงิน หรือ อุปกรณ์มีปัญหา
  6.  ข้อมูลของระบบมีจำนวนมาก จึงยากต่อการค้นหา
ความต้องการของระบบใหม่
  1.  มีการจักระบบให้เป็นหมวดหมู่ ค้นหาง่ายมากขึ้น
  2.  มีจัดเก็บข้อมูลที่สำคัญ ไม่เก็บข้อมูลขยะไว้เพื่อมีพื้นที่ในการเก็บข้อมูลได้มากขึ้น
  3.  มีการจับเก็บบิลสินค้ารายการต่างๆไว้อย่างดี
  4. จัดทำระบบเพื่อแล้วสร้างส่วนที่เก็บข้อมูลชนิดนี้โดยเฉพาะ

ประโยชน์ที่ได้รับจากระบบใหม่
  1. บริษัทมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น
  2.  ลดความซ้ำซ้อนกันของการทำงาน
  3.  ลดระยะเวลาในการทำงาน
  4.  ข้อมูลมีความถูกต้องแม่นยำและไม่ซ้ำซ้อน
  5.  การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  6.  ตรวจสอบสินค้าในคลังได้ถูกต้องทำให้การสั่งซื้อและขายสินค้าไม่มีปัญหา
  7. ปรับปรุงระบบให้ตรงกับสถานการณ์ปัจจุบันของบริษัทได้
แนวทางในการพัฒนา
     ทางบริษัทได้เลือกโครงการพัฒนาระบบจดซื้อเพื่อให้เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน จึงต้องพิจารณาถึงขั้นตอนการดำเนินงานให้เหมาะสมกับบริษัทสามารถแบ่งได้ทั้งหมด 7 ขั้นตอนดังนี้
  1. การค้นหาและเลือกสรรโครงการ
  2.  การเริ่มต้นและการวางแผนโครงการ
  3.  การวิเคราะห์ระบบ
  4.  การออกแบบเชิงตรรกะ
  5. . การออกแบบเชิงกายภาพ
  6.  การพัฒนาและติดตั้งระบบ
  7.  การซ่อมบำรุงระบบ

ขั้นตอนที่ 1 การค้นหาและเลือกสรรโครงการ ( Project Identification and Selection )
     เป็นขั้นตอนในการค้นหาโครงการเพื่อพัฒนาระบบใหม่ให้เหมาะสมกว่าระบบเดิม ในเรื่องการเปลี่ยนแปลง แก้ไขข้อมูล หรือต้องการระบบใหม่เพื่อนำมาใช้ในการบริหารงานในส่วนที่เกิดความบกพร่องของบริษัท เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด และความรวดเร็วในการทำงานของบริษัท
     ดังนั้นจึงได้ยกตัวอย่างบริษัทที่ต้องการพัฒนาระบบคือบริษัท ฮอนด้ามาฮ่า จำกัด ข้อมูลดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ในส่วนของระบบที่ต้องการแก้ไขคือ
  1. ระบบการจัดซื้อ
  2. การจัดเก็บข้อมูล
  3. ระบบส่งเสริมการขายและการจองสินค้า

ขั้นตอนที่ 2 การเริ่มต้นและวางแผนโครงการ
     เป็นขั้นตอนในการเริ่มต้นทำโครงการด้วยการเริ่มต้นจัดตั้งทีมงาน ซึ่งเราจะต้องกำหนดหน้าที่ให้กับทีมงานแต่ละคนอย่างชัดเจนเพื่อร่วมกันสร้างแนวทางเลือกในการนำระบบใหม่มาใช้งานและนอกจากขั้นตอนดังกล่าวแล้วยังมีขั้นตอนอื่นอีกมากที่เกี่ยวข้องซึ่งเราสามารถสรุปกิจกรรมในขั้นตอนนี้ได้ดังนี้
  1. เริ่มต้นทำโครงการ ศึกษาระบบการทำงานของระบบเดิมดูก่อน เพื่อดูขั้นตอนการทำงาน หรือหาข้อผิดพลาดของระบบ
  2.  กำหนดวัตถุประสงค์ในการนำระบบใหม่มาใช้
  3. วางแผนการทำงานของระบบใหม่

ขั้นตอนที่ 3 การวิเคราะห์
  1. ศึกษาขั้นตอนการทำงานของระบบเดิมดูว่าการทำงานของระบบเดิมมีการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้อย่างไร และเหตุใดจึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงระบบเดิมและระบบที่เปลี่ยนแปลงนี้จะเปลี่ยนในส่วนของระบบการจัดซื้อ
  2. การรวบรวมความต้องการเปลี่ยนแปลงของระบบใหม่ จากผู้ใช้ระบบศึกษาหรือสอบถามข้อมูลของระบบเดิมจากพนักงานผู้ใช้ระบบ หรือ ผู้ทดสอบระบบ
  3. จำลองแบบความต้องการที่รวบรวมได้เมื่อเรารวบรวมข้อมูลมาได้แล้วก็สามารถออกแบบจำลองดังกล่าวได้ด้วยวิธีการใดก็ได้ที่นักวิเคราะห์ระบบนำมาใช้ในการทำงานของระบบ

ขั้นตอนที่ 4 การออกแบบเชิงตรรกะ
     เป็นการออกแบบขั้นตอนการทำงานของระบบในแต่ละส่วนงานหรือแต่ละแผนกของงาน ซึ่งในการออกแบบระบบระบบงานที่ได้ในแต่ละงานจะไม่เหมือนกันซึ่งอาจจะมีแบบฟอร์มหรือผลลัพธ์ที่ได้เมื่อเราวิเคราะห์ระบบงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว

ขั้นตอนที่ 5 การออกแบบเชิงกายภาพ
     ในขั้นตอนนี้เป็นการทำงานของระบบในส่วนของเทคนิคของโปรแกรมหรืออุปกรณ์ต่าง ๆ ที่นำมาใช้ในการปรับปรุงระบบอาจจะเป็นระบบเครือข่าย ฐานข้อมูล โปรแกรมสำเร็จรูป เพื่อให้ผู้ใช้งานระบบสามารถเข้าใจขั้นตอนการทำงานมากขึ้น และมีความรวดเร็ว ซึ่งสิ่งที่ได้ในส่วนนี้จะเป็นแค่การออกแบบหลังจากนั้นจะทำการส่งให้โปรแกรมเมอร์ต่อไป

ขั้นตอนที่ 6 การพัฒนาและติดตั้งระบบ
     ขั้นตอนนี้จะนำข้อมูลเฉพาะในส่วนที่ต้องการออกแบบของระบบมาทำการเขียนโปรแกรม เพื่อให้เป็นไปตามคุณลักษณะที่ต้องการของระบบงานใหม่ อาจนำโปรแกรมที่เขียนสำเร็จรูปแล้วมาใช้งานในระบบก็ได้ หรือจัดทำโปรแกรมขึ้นมาเอง แต่อาจจะมีความยุ่งยากไปหน่อย หลังจากเขียนโปรแกรมแล้วเราก็ควรทำการทดลองว่าโปรแกรมใช้งานได้เหมาะสมกับการทำงานของบริษัทหรือไม่ ซึ่งในขั้นตอนนี้มีกระบวนการทำงานดังนี้
  1. เขียนโปรแกรม
  2. ทดสอบโปรแกรม
  3. ติดตั้งระบบ
  4. จัดทำเอกสาร สรุปผลการทำงานของระบบ

ขั้นตอนที่ 7 การซ่อมบำรุงระบบ
     อาจจะเป็นขั้นตอนสุดท้ายในการปรับปรุงระบบ เพราะหลังจากได้ระบบใหม่มาแล้ว เราก็นำเอาระบบที่ได้มานี้ทำการแก้ไขหากระบบที่ได้มาเกิดข้อผิดพลาด
แผนการดำเนินงานของโครงการ
แผนการดำเนินงานของโครงการพัฒนาระบบจัดซื้อ มีดังต่อไปนี้
  1. ทีมงานผู้รับผิดชอบโครงการ
  2. ประมาณการใช้แหล่งทรัพยากร
  3. ประมาณการใช้งบประมาณ
  4. ประมาณระยะเวลาดำเนินงาน


1. ทีมงานรับผิดชอบโครงการ
     ทีมงานผู้รับผิดชอบโครงการที่จะได้รับมอบหมาย คือ บุคลากรแผนกคอมพิวเตอร์ทั้ง 3 คนจะดำรงตำแหน่งหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ดังต่อไปนี้

  • นักวิเคราะห์และออกแบบระบบ ทำหน้าที่ในการวิเคราะห์และออกแบบระบบ ตลอดจนเก็บรวบรวมข้อมูลและติดต่อประสานงานระหว่างผู้ใช้กับทีมโปรแกรมเมอร์ จัดทำเอกสารของระบบ ทดสอบโปรแกรมของระบบ และอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
  • โปรแกรมเมอร์ ทำหน้าที่ในการเขียนและติดตั้งโปรแกรมของระบบ รวมทั้งทดสอบโปรแกรมและพัฒนาตัวต้นแบบเพื่อสอบถามความคิดเห็นและผลการตอบรับจากผู้ใช้ระบบ

2. ประมาณการใช้แหล่งทรัพยากร
ปัจจุบันทางบริษัทใช้ระบบเครือข่าย LAN อยู่แล้วมีรายละเอียดต่อไปนี้

  1. เครื่องแม่ข่าย server จำนวน 1 เครื่อง
  2. เครื่องลูกข่าย (Workstation) จำนวน25 เครื่อง
  3. เครื่องพิมพ์ (Printer) 8เครื่อง
  4. อุปกรณ์ต่อพวง 8 ชุด (ตามความเหมาะสม)


สรุปแล้วงบประมาณที่ใช้พอสรุปในของแต่ละฝ่ายได้ดังนี้

1.ผู้จัดการ
ค่าตอบแทนสำหรับทีมงานพัฒนา
นักวิเคราะห์และออกแบบระบบโปรแกรมเมอร์                                                              170,000 บาท

2.พนักงาน
ฝึกอบรมพนักงานและผู้บริหาร 10 คน                                                                          1,100      บาท
วันฝึกอบรมผู้ดูแลระบบ                                                                                                1,000      บาท

3.จัดชื้ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ซอฟต์แวร์:
เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้เป็นworkstation                                                                       56,500    บาท
อื่นๆ                                                                                                                             10,000    บาท

4.ค่าใช้จ่ายระหว่างดำเนินงาน
ค่าบำรุงระบบ                                                                                                               35,000    บาท
จัดชื่อเก็บข้อมูลสำรอง                                                                                                2,500      บาท

                                                                                                              รวม                276,100  บาท

ประมาณการระยะเวลาดำเนินงาน
     ระยะเวลาดำเนินการจัดทำระบบจัดซื้อ ประมาณการว่าจะต้องใช้ระยะเวลา 6เดือน นับตั้งแต่ เดือน เมษายน –กรกฎาคม2555 ซึ่งระยะเวลาที่ประมาณการนี้รวมเพื่อเวลาที่ต้องสูญเสียไป กรณีมีเหตุไม่คาดคิด

ระยะเวลาดำเนินงาน
  • เฉพาะวันทำการ คือวันจันทร์-ศุกร์ ไม่นับวันหยุดนักขัตฤกษ์และวันเสาร์-อาทิตย์
  • จำนวนชั่วโมงจริงในการทำงานในแต่ละวัน หรือส่วนหนึ่งของการประมาณระยะเวลาที่กำหนดไว้ นั่นคือ 8 ชั่วโมงต่อวันไม่รวมช่วงพักเที่ยง
  • หากมีการทำงานในช่วงเวลานอกคือหลังเวลาเลิกงานหรือวันหยุดนักขัตฤกษ์และวันเสาร์-อาทิตย์จะได้รับ OT เพิ่มและวันหยุดนักขัตฤกษ์ได้ค่าแรงเป็น 2 เท่า

รายงานสรุปผลสำหรับผู้บริหาร
     จากการที่ได้ศึกษาโครงการพัฒนาระบบจัดซื้ออาจจะส่งผลต่อการปฏิบัติงานของบริษัทพนักงาน และอาจจะส่งผลถึงความพึงพอใจของลูกค้าเพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของการปฏิบัติงานในด้านการบริการและระบบสารสนเทศทางบริษัทจึงต้องจัดทำแผนพัฒนาระบบใหม่ขึ้น ทั้งนี้ทางทีมงานจึงได้พัฒนาระบบและได้ศึกษาความเป็นไปได้ทั้ง 3 ด้านของระบบนี้ประกอบด้วย ความเป็นไปได้ทางเทคนิค ความเป็นไปได้ทางการปฏิบัติงาน และความเป็นไปได้ทางด้านระยะการดำเนินงานจะเป็นข้อมูลไว้ช่วยสนับสนุนโดยนำมาใช้งานดังต่อไปนี้

1. ความเป็นไปได้ทางด้านเทคนิค
     ทำการศึกษาทั้งทางด้าน Software และHardware ของระบบเดิม ปรากฏว่าใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เชื่อมต่อบนเครือข่ายแบบLAN Application ที่ใช้ได้แก่
  • โปรแกรม Microsoft Office 2010
  •  โปรแกรมสำเร็จรูปเพื่องานคลังสินค้า
2.ความเป็นไปได้ทางด้านการปฏิบัติงาน
     ทำการศึกษาทางด้านการปฏิบัติงานของผู้ใช้กับระบบใหม่ที่จะนำมาใช้ จากการสอบถามข้อมูลพบว่า ระบบใหม่มีความเป็นไปได้ในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับการบริหารงานบุคคลที่มีอยู่เดิม ทั้งยังสามารถใช้ข้อมูลร่วมกันได้ ซึ่งช่วยลดปัญหาการนำข้อมูลที่ไม่ถูกต้องไปใช้งานได้ และลดขั้นตอนการทำงานที่ซ้ำซ้อนลงได้

3.ความเป็นไปได้ทางด้านระยะเวลา
     ระยะเวลาในการดำเนินงานของโครงการพัฒนาระบบ ใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 3เดือน  ตั้งแต่เดือน เมษายน – เดือนมิถุนายน 2555 ในการดำเนินงานพัฒนาระบบของบริษัท

ขั้นตอนที่ 3
การกำหนดความต้องการของระบบ

     เมื่อโครงการพัฒนาระบบจัดซื้อสินค้า ได้รับการอนุมัติจากการนำเสนอโครงการในขั้นตอนที่ผ่านมา แล้ว จึงเริ่มต้นด้วยความการเก็บรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากทำงานของระบบเดิม ในการกำหนดความต้องการของระบบครั้งนี้ ทางทีมงานเลือกใช้วิธีการออกแบบสอบถาม

1. ออกแบบสอบถาม
      บุคคลผู้ตอบแบบสอบถามคือ “ผู้จัดการแผนกบัญชี”,“ผู้จัดการแผนกบุคคล”,“ผู้จัดการแผนกการขาย”,“ผู้จัดการแผนกประชาสัมพันธ์”,“ผู้จัดการแผนกจัดซื้อ” และ “ผู้จัดการแผนกซ่อมบำรุง”ในการตอบแบบสอบถาม การใช้แบบสอบถามเพื่อเก็บข้อมูลในส่วนที่ต้องการพัฒนาระบบ เนื่องจากทางทีมงานสามารถควบคุมหัวข้อคำถามที่ต้องการรายละเอียดได้มากกว่าการสัมภาษณ์โดยไม่ต้องมีการจดบันทึกไม่รบกวนเวลาทำงานของผู้จัดการแต่ละแผนก สามารถเก็บข้อมูลได้มากตามการตั้งคำถามในแบบสอบถามนี้ผู้ตอบแบบสอบถามจะรู้สึกมีอิสระในการให้ข้อมูลเหตุผลที่เลือกสอบถามผู้จัดการทั้ง 6 แผนกนี้ เนื่องจาก 6 แผนกนี้มีความเกี่ยวข้องกับการพัฒนาระบบการจัดซื้อสินค้าอย่างมาก

ข้อมูลและเอกสารของระบบงานเดิมที่รวบรวมได้
     จากการที่ทีมงานได้เก็บรวบรวมข้อมูลของระบบเดิม ด้วยวิธีการออกแบบสอบถาม สามารถสรุปข้อมูลที่ได้รับดังนี้
  1. ข้อมูลระบบคอมพิวเตอร์ของระบบเดิม
  2. ความต้องการในระบบใหม่

1. ข้อมูลระบบคอมพิวเตอร์ของระบบเดิม
     ทางบริษัทใช้ระบบเครือข่าย LAN และ Wi-Fi ประกอบด้วย
              1.1 เครื่องแม่ข่าย จำนวน 1 เครื่อง ใช้ซอฟต์แวร์เครือข่าย WindowsServer 2003 
              1.2 เครื่องลูกข่าย จำนวน 30 เครื่อง ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows 7 (จำนวน 20 เครื่อง) Windows XP (จำนวน 10 เครื่อง) และซอฟต์แวร์สำหรับงานสำนักงาน Microsoft Office 2007และซอฟแวร์สำเร็จรูป
  • แผนกการขายใช้ซอฟต์แวร์ Microsoft Excel 2007 ในการคำนวณยอดขายสินค้าของแต่ละวัน
  •  แผนกบัญชีใช้ซอฟต์แวร์สำหรับงานบัญชี AccStarและใช้Microsoft Excel 2007 สำหรับคำนวณเงินยอดการสั่งซื้อ สั่งเบิกสินค้า
  •  แผนกฝ่ายบุคคล ใช้โปรแกรมสำเร็จรูป CRM ในการคิดคำนวณเงินเดือนของพนักงาน
  •  แผนกซ่อมแซม ใช้ซอฟต์แวร์Microsoft Excel 2007ในการคำนวณยอดการเบิกจ่ายของมาใช้ซ่อมบำรุง และจัดลำดับการเข้าบริการ ซ่อมบำรุง
  • -แผนกประชาสัมพันธ์ ใช้ซอฟแวร์ Microsoft Power Point 2007 ในการประชามสัมพันธ์ ข้อมูลข่าวสาร
  • แผนกจัดซื้อ ใช้ซอฟแวร์ Microsoft word 2007 ในการพิมพ์รายการสั่งซื้อสินค้า
            1.3 อุปกรณ์ต่อพ่วง ได้แก่ เครื่องพิมพ์เลเซอร์จำนวน 2 เครื่อง เครื่องพิมพ์อิงค์เซท 2 เครื่องเครื่องถ่ายเอกสาร 2 เครื่อง

         1.4 อุปกรณ์อื่นๆ ตัวปล่อยสัญญาณ Wi-Fi จำนวน 3 ชุด

2. ความต้องการของระบบใหม่
  1.  สามารถสั่งซื้อสินค้าได้อย่างถูกต้องครบถ้วน
  2.  สามารถเพิ่มการสั่งซื้อสินค้าได้ง่าย รวดเร็ว
  3. ข้อมูลในระบบสามารถเชื่อมโยงไปยังแผนกอื่นๆได้ แต่จะต้องทำการเข้า Login ก่อน
  4. .สามารถเช็คดูจำนวนสินค้าในสต๊อกได้

3. ความต้องการของผู้ใช้ในระบบใหม่
     จากแบบสอบถามและการสัมภาษณ์ ทางทีมงานสามารถสรุปความต้องการในระบบใหม่ได้ดังต่อไปนี้ 
  1.  สามารถซื้อสินค้าได้รวดเร็ว
  2. . มีความสะดวกในการใช้งาน
  3.  ตรวจสอบข้อมูลปัจจุบันและข้อมูลย้อนหลังได้
  4.  ข้อมูลของแต่ละแผนกสามารถเชื่อมโยงกันได้
  5.  สามารถเช็คสินค้าได้
  6.  มีการใช้งานที่ง่ายไม่สับซ้อน
  7.  มีการพิมพ์ใบสั่งซื้อสินค้า
เพื่อเป็นการตอบสนองความต้องการดังกล่าวสามารถแบ่งการทำงานออกเป็น 3 ระบบดังนี้

1. ระบบการจัดซื้อ
     เป็นระบบที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อสินค้าในบริษัท เพื่อให้ย่นเวลาการทำงาน พร้อมทั้งสามารถเช็คดูข้อมูลการส่งซื้อสินค้าย้อนหลัง พร้อมทั้งสามารถพิมพ์ใบเสร็จ การสั่งซื้อสินค้าได้

2. ระบบจัดเก็บข้อมูล
     เป็นระบบที่เพิ่มพื้นที่ในการจัดเก็บข้อมูล มีการเรียงตัวของข้อมูลที่ไม่ซับซ้อน สามารถค้นหาตรวจสอบข้อมูลได้รวดเร็วข้อมูลไม่สูญหายช่วยลดระยะเวลาค้นหาข้อมูล

3. ระบบการส่งเสริมการขายและการจองสินค้า
     เป็นระบบที่ค่อยเกื้ออำนวยให้แก่ ผู้ซื้อ สินค้าและบริการ สามารถตรวจสอบสิทธิต่างๆ ของบริษัท รวมทั้งสามารถจองสินค้าได้ด้วย และมีโปรโมชั่นต่างๆ ตลอดถึง เป็นระบบช่วยเหลือ ช่วยอำนวยความสะดวกในการติดต่อ หรือทำสัญญากัลป์ทางบริษัท


ขั้นตอนที่ 4
แบบจำลองขั้นตอนการทำงานของระบบ

อธิบาย Dataflow Diagram Level 0
     จาก Context Diagram สามารถแบ่งขั้นตอนการทำงานภายในระบบออกเป็น 4 ระบบ ดังนั้นจึงแยก Process ที่เกี่ยวข้องกับระบบ ดังรายละเอียดต่อไปนี้


อธิบาย Context Diagram
     จาก Context Diagram ของระบบการบริหารงาน ไชโยโห่สามที ซึ่งสัญลักษณ์ Process จะใช้แทนการทำงานทุกขั้นตอนของระบบนี้ โดย External Agents ที่เกี่ยวข้องกับระบบ ได้แก่ แผนกบัญชี แผนกการขาย แผนกจัดซื้อสินค้า แผนกซ่อมแซม ซึ่งมีข้อมูลรับเข้าและส่งออกระหว่าง External Agents ดังกล่าวกับระบบ ทำให้ทราบโดยภาพรวมว่าระบบการบริหารงาน ไชโยโห่สามที นี้ทำอะไรได้บ้าง และเกี่ยวข้องกับใครบ้าง สามารถอธิบายเอกสารข้อมูลที่อยู่บน Dataflow เข้าและออกระหว่าง External Agents และระบบ ได้ดังนี้

แผนกบัญชี

  • แผนกมีการรับข้อมูลสินค้า ข้อมูลการขาย ข้อมูลสั่งซื้อ ค่าใช้จ่าย ในการคำนวณสินค้า ระบบจะทำการไปยังระบบบริหารงานตรวจสอบเช็คสินค้า
  •  ภายในระบบจะมีขั้นตอน รายงานค่าใช้จ่าย รายงานรายการสินค้า รายงานการขายประจำวันและรายงานการสั่งซื้อ ในการคำนวณสินค้าและจะส่งไปยังแผนกบัญชี

แผนกการขาย

  • เมื่อระบบได้รับสินค้า ระบบจะคำนวณสินค้าจากราคาสุทธิ ข้อมูลสินค้า รายการสินค้าที่จะขาย รายการเบิกสินค้าจากคลัง และยอดรวมสินค้า ระบบจะทำการแจ้งไปยังระบบบริหารงานตรวจสอบเช็คสินค้า 
  • เมื่อระบบบริหารงานได้ข้อมูลแล้วจะออกรายการสินค้าและใบเสร็จแก่แผนกการขาย

แผนกจัดซื้อสินค้า

  • ระบบได้เช็คสินค้าในคลัง ตรวจสอบยอดรวมค่าสินค้า ใบรับของ ใบสั่งของ รายการสินค้าที่สั้งซื้อ ระบบได้คำนวณความถูกต้องของสินค้าและแจ้งไปยังระบบเพื่อตรวจสอบความถูกต้องอีกครั้ง
  •  ระบบตรวจเช็คสินค้าจะส่งรายการสินค้าที่ได้รับหรือสินค้าที่ไม่ได้รับ ค่าสินค้า รายการสั่งซื้อ ใบเสร็จสินค้าที่ชำระ ยอดรวมค่าสินค้า ค่าสินค้าที่ต้องชำระ รายการที่ต้องชำระ รายการสินค้าที่คงเหลือ รายการสินค้าในคลัง ให้แก่แผนกคลังสินค้าเพื่อส่งออกไปยังระบบต่อไป

แผนกซ่อมแซม

  •  ระบบได้มีการซ่อมบำรุง ได้ทำรายการสินค้าเบิกจ่ายในการซ่อม ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ค่าสินค้าเบิกจ่าย และได้แจ้งไปยังระบบตรวจสอบเช็คสินค้าเพื่อให้ระบบได้ส่งบิลค่าซ่อมให้แผนกซ่อมบำรุง



อธิบาย Dataflow Diagram Level 0
     จาก Context Diagram สามารถแบ่งขั้นตอนการทำงานภายในระบบออกเป็น 4 ระบบ ดังนั้นจึงแยก Process ที่เกี่ยวข้องกับระบบ ดังรายละเอียดต่อไปนี้

     Process 1.0 สั่งสินค้า เป็นระบบจัดการเกี่ยวกับสินค้าทั้งหมด สามารถอธิบายข้อมูลเข้าและออกจาก Process ดังนี้
          แผนกคลังสินค้าเช็คสินค้าในคลัง โดยทำการเช็คผ่านตัวระบบตรวจสอบสินค้า ระบบจะเข้าไปดูสินค้าคงเหลือในแฟ้มสินค้าคงเหลือ แล้วส่งรายการสินค้าคงเหลือมายังคลังสินค้า หลังจากนั้นคลังสินค้าจะป้อนรายการสินค้าที่สั่งซื้อเข้ามาในระบบ ตัวระบบจะนำข้อมูลรายการสินค้าที่สั่งซื้อไปบันทึกแฟ้มข้อมูลสั่งซื้อและข้อมูลสินค้าไปบันทึกในแฟ้มข้อมูลสินค้า แล้วระบบจะส่งรายการสั่งซื้อกลับมาให้คลังสินค้า

     Process 2.0 ขายสินค้า เป็นระบบจัดการการขายสินค้าทั้งหมด ในเรื่องสินค้าที่ขาย ใบเสร็จรับเงิน สามารถอธิบายข้อมูลเข้าและออกจาก Process ดังนี้
          แผนกขายสินค้า ป้อนรายการสินค้าที่ขายเข้าระบบขายสินค้า ตัวระบบจะดึงข้อมูลสินค้าจากแฟ้มสินค้าแล้วส่งข้อมูลการขายไปบันทึกในแฟ้มข้อมูลการขายผ่านระบบ หลังจากนั้นระบบจะส่งค่าสินค้ากับใบเสร็จรับเงินให้กับแผนกขายสินค้า

     Process 3.0 ซ่อมบำรุง เป็นระบบดูแลเรื่องการซ่อมบำรุงในบริษัท ในเรื่องการเบิกจ่ายสินค้าไปซ่อมและค่าใช้จ่ายอื่นๆในการซ่อมบำรุง สามารถอธิบายข้อมูลเข้าและออกจาก Process ดังนี้
          แผนกซ่อมบำรุง จะป้อนรายการสินค้าเบิกจ่ายที่ใช้ซ่อมบำรุงกับค่าใช้จ่ายอื่นๆ เข้าสู่ระบบซ่อมบำรุง ตัวระบบจะส่งรายการสินค้าเบิกจ่ายที่ใช้ซ่อมบำรุงกับค่าใช้จ่ายอื่นๆ ไปบันทึกในแฟ้มข้อมูลเบิกจ่ายและแฟ้มค่าใช้จ่ายอื่นๆ ผ่านระบบ หลังจากนั้นระบบจะออกบิลค่าซ่อมให้กับแผนกซ่อมบำรุง

     Process 4.0 พิมพ์รายงาน เป็นระบบพิมพ์รายงานข้อมูลต่างๆ สามารถอธิบายข้อมูลเข้าและออกจาก Process ดังนี้
          แผนกบัญชี จะส่งความต้องการรายงานยอดขายเข้าสู่ระบบ ตัวระบบจะดึงข้อมูลการขายจากแฟ้มข้อมูลการขายผ่านระบบแล้วสั่งพิมพ์รายงานยอดขายไปให้บัญชี
หากต้องการรายงานการขายประจำวัน ทางแผนกบัญชีจะต้องส่งส่งความต้องการรายงานการขายประจำวัน เข้าสู่ระบบ ตัวระบบจะดึงข้อมูลการขายจากแฟ้มข้อมูลการขายผ่านระบบแล้วสั่งพิมพ์รายงานยอดขายไปให้บัญชี

    หากต้องการรายงานรายการสินค้า ทางแผนกบัญชีจะต้องส่งส่งความต้องการรายงานรายการสินค้า เข้าสู่ระบบ ตัวระบบจะดึงข้อมูลสินค้าจากแฟ้มข้อมูลสินค้าผ่านระบบแล้วสั่งพิมพ์รายงานรายการสินค้า ไปให้บัญชี

     หากต้องการรายงานค่าใช้จ่าย ทางแผนกบัญชีจะต้องส่งส่งความต้องการรายงานค่าใช้จ่าย เข้าสู่ระบบ ตัวระบบจะดึงข้อมูลค่าใช้จ่ายจากแฟ้มข้อมูลค่าใช้จ่ายผ่านระบบแล้วสั่งพิมพ์รายงานค่าใช้จ่าย ไปให้บัญชี




Dataflow Diagram Level 1 of Process 1.0 แผนกจัดซื้อสินค้า
     Process 1.0 ระบบสั่งซื้อสินค้า มีขั้นตอนการทำงานย่อยภายในทั้งหมด 4 ขั้นตอนหรือ 4 Process ดังนี้

  • Process 1.1 ตรวจสอบสินค้า แผนกคลังสินค้าจะเข้าไปเช็คสินค้าในคลังในระบบ ตัวระบบจะไปตรวจสอบรายการสินค้าในคลังในแฟ้มข้อมูลสินค้าคงเหลือผ่านระบบตรวจสอบสินค้า หลังจากนั้นระบบจะส่งรายการสินค้าคงเหลือให้กับคลังสินค้า
  • Process 1.2 สั่งซื้อสินค้า แผนกคลังสินค้าป้อนรายการสินค้าที่สั่งซื้อเข้าระบบ ตัวระบบจะดึงข้อมูลสั่งซื้อในแฟ้มข้อมูลสั่งซื้อและข้อมูลสินค้าในแฟ้มข้อมูลสินค้าผ่านระบบสั่งซื้อสินค้า แล้วตัวระบบจะส่งใบส่งของไปให้ระบบตรวจรับสินค้า
  • Process 1.3 ตรวจรับสินค้า ระบบจะรับใบสั่งของจากระบบสั่งสินค้า และรับใบรับของจากคลังสินค้าเข้ามาในระบบ แล้วระบบจะตรวจเช็คสินค้าตามใบสั่งของและใบรับของผ่านระบบ หลังจากนั้นระบบจะส่งรายการสินค้าที่ได้รับและรายการสินค้าที่ไม่ได้รับมาให้คลังสินค้า และส่งยอดรวมค่าสินค้าไปให้ระบบชำระสินค้า
  • Process 1.4 ชำระสินค้า ระบบจะได้รับยอดรวมค่าสินค้าจากระบบตรวจรับสินค้า แล้วระบบจะออกใบเสร็จสินค้าที่ต้องชำระไปให้คลังสินค้า




Dataflow Diagram Level 1 of Process 2.0 แผนกขาย
     Process 2.0 แผนกขาย ระบบขายสินค้า มีขั้นตอนการทำงานย่อยภายในทั้งหมด 3 ขั้นตอนหรือ 3 Process ดังนี้

  • Process 2.1 จัดเตรียมสินค้า แผนกขายป้อนรายการเบิกสินค้าจากคลังเข้าสู่ระบบ ตัวระบบจะดึงข้อมูลสินค้าจากแฟ้มข้อมูลสินค้าผ่านระบบ หลังจากนั้นระบบจะส่งรายการสินค้าที่ขายไปให้แผนกขายและส่งยอดรวมสินค้าไปให้ระบบคำนวณราคา
  • Process 2.2 คำนวณราคา ระบบจะได้รับยอดรวมสินค้าจากระบบจัดเตรียมสินค้า แล้วระบบจะดึงข้อมูลสินค้าจากแฟ้มสินค้าผ่านระบบ หลังจากนั้นจะส่งราคาสุทธิไปยังระบบออกใบเสร็จ
  • Process 2.3 ออกใบเสร็จ เมื่อระบบได้รับราคาสุทธิจากระบบคำนวณราคา แล้วตัวระบบจะออกใบเสร็จไปให้แผนกขาย


Dataflow Diagram Level 1 of Process 3.0 แผนกซ่อมแซม
     Process 3.0 แผนกซ่อมบำรุง แผนกซ่อมบำรุง มีขั้นตอนการทำงานย่อยภายในทั้งหมด 3 ขั้นตอนหรือ 3 Process ดังนี้

  • Process 3.1 เบิกจ่ายสินค้า แผนกซ่อมบำรุงป้อนรายการสินค้าที่เบิกจ่ายเข้ามาในระบบ ตัวระบบจะนำรายการสินค้าที่เบิกจ่ายไปบันทึกในแฟ้มสินค้าเบิกจ่ายโดยผ่านระบบ หลังจากนั้นระบบจะส่งค่าสินค้าที่เบิกจ่ายไปให้ระบบค่าใช้จ่ายที่ซ่อมบำรุง
  • Process 3.2 ค่าใช้จ่ายที่ซ่อมบำรุง ระบบจะได้รับค่าสินค้าเบิกจ่ายจากระบบเบิกจ่ายสินค้าและแผนกซ่อมบำรุงป้อนค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ใช้ต้องใช้ในการซ่อมบำรุงเข้าสู่ระบบ ตัวระบบจะนำค่าใช้จ่ายกับค่าสินค้าเบิกจ่ายไปบันทึกในแฟ้มค่าใช้จ่าย
  • Process 3.3 บิลค่าซ่อมบำรุง ระบบจะดึงข้อมูลค่าใช้จ่ายจากแฟ้มค่าใช้จ่ายผ่านระบบ หลังจากนั้นจะออกบิลค่าซ่อมไปให้ซ่อมบำรุง


ขั้นตอนที่ 5
การออกแบบ User Interface



     โปรแกรมบริษัท ไชโย โห่สามที เป็นเป็นโปรแกรมขนาดใหญ่มีหลายแผนกสามารถเข้ามาใช้งานได้ โดยการทำงานแบ่งเป็นระบบย่อยดังนี้

  1. ระบบคลังสินค้า จะมีระบบย่อยในการเช็คสินค้าในนคลัง เพื่อดูว่ามีการสั่งซื้อสินค้าอะไรบ้าง แล้วตรวจรับสินค้า ชำระเงินต่อไป
  2.  ระบบขาย มีการจัดเตรียมสินค้าที่ถูกสั่งเข้ามาทำการคำนวณราคาแล้วออกใบเสร็จ
  3.  ระบบซ่อมบำรุง ระบบจะทำการเบิกเงินมาใช้จ่ายในการซ่อมสำรวจอุปกรณ์ว่าเกิดความเสียหายอะไรบ้าง แล้วรวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดไปส่งบัญชี
  4.  ระบบพิมพ์รายงาน เป็นขั้นตอนสุดท้ายในการทำงานโดนมีการสรุปยอดขายประจำวัน แล้วรวมรายการสินค้า – การสั่งซื้อรายงานการเบิกจ่ายทั้งหมด


ตัวอย่าง ระบบคลังสินค้า เช่น การสั่งซื้อสินค้า
     ระบบสั่งซื้อสินค้ามีการทำงานโดยการป้อนข้อมูลของ ชื่อสินค้า จำนวน ราคา วันที่สั่งซื้อ เมื่อป้อนข้อมูลครบแล้วให้กดปุ่มเพิ่มรายการ ข้อมูลทั้งหมดจะถูกส่งมายังช่องรายการสินค้าที่สั่งซื้อ ตรวจเช็ครายละเอียดแล้วกดปุ่มออกใบสั่งของแล้วกดปุ่มออกใบสั่งของระบบจะออกใบสั่งซื้อสินค้า

ขั้นตอนที่ 6
การพัฒนาและติดตั้งระบบระบบ

     ทีมงานได้จัดทำ คู่มือและเอกสารการใช้โปรแกรมของระบบตรวจเช็คสินค้าเพื่อให้ผู้ใช้ระบบสามารถเข้าใจการทำงานของโปรแกรมได้มากยิงขึ้น โดยมีรายละเอียดดังนี้

1 แนะนำโปรแกรมตรวจเช็คสินค้า เป็นระบบที่สามารถทำงานได้หลายหน้าที่และมีระบบย่อยทั้งหมด 4 ระบบได้แก่

1.1 ระบบสินค้า เป็นระบบที่สามารถตรวจเช็คสินค้า สั่งซื่อสินค้า เพื่อดูว่ามีการสั่งซื้อสินค้าอะไรบ้าง แล้วตรวจรับสินค้า ชำระเงินต่อไป

1.2 ระบบขาย เป็นระบบการขายสินค้าสามารถตรวจสอบสินค้าที่บริษัทจะออกจำหน่ายยังสามารถบอกรายละเอียดแก่ลูกค้า สามรถคำนวณราคาสินค้า และออกใบเสร็จให้กับลูกค้า

1.3 ระบบซ่อมบำรุง เป็นระบบที่จัดการบริการซ่อมบำรุงให้กับลูกค้า ระบบนี้จะทำการ เบิกจ่ายสิ้นค้าในคลัง รายงานการซ่อม และ แสดงค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงในแต่ละครั้งที่มีการซ่อมและ ออกบิลค่าซ่อมให้กับลูกค้า

1.4 ระบบพิมพ์รายงาน เป็นระบบที่ใช้ในการสรุป และ พิมพ์รายงานให้กับแผนกบัญชี โดยมีการสรุปยอดขายประจำวัน แล้วรวมรายการสินค้า – การสั่งซื้อรายงานการเบิกจ่ายทั้งหมด

ขั้นตอนที่ 7
การซ่อมบำรุง

     การซ่อมบำรุงนั้นจะขึ้นอยู่กับผู้พัฒนาระบบว่าระบบนั้นมีปัญหาอะไรบ้างจะอยู่ในความดูแลของผู้พัฒนาระบบมีการดูแลระบบอย่างต่อเนื่อง ผู้พัฒนาระบบจะค่อยอัพเดตซอฟต์แวร์ใหม่ๆที่ทันสมัยเพื่อให้โปรแกรมใช้ง่ายขึ้นกว่าเดิมและเพิ่มประสิทธิภาพ หากมีปัญหาเกิดขึ้นผู้พัฒนาระบบจะทำการซ่อมแซมระบบอย่างรวดเร็ว